นับแคลอรีเป็น น้ำหนักลด ซิกแพคเกิด
ในแต่ละวันร่างกายของคนเราต้องการพลังงานจากอาหารเพื่อใช้ทำกิจกรรมต่างๆ ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งเข้านอน ซึ่งพลังงานที่ได้นั้นจะมาจากการเผาผลาญอาหารให้กลายเป็นพลังงาน แต่เมื่อเริ่มมีอายุมากขึ้นก็ทำให้มีผลต่อระบบเผาผลาญพลังงานที่ลดประสิทธิภาพลง ร่างกายเก็บสะสมพลังงานที่เผาผลาญไม่หมดให้เป็นไขมันส่วนเกิน ทั้งที่รับประทานอาหารเท่าเดิมแต่กลับอ้วนมากขึ้นเรื่อยๆ
แคลอรีคืออะไร
การนับแคลอรีก็เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับในการลดน้ำหนักที่ดี ซึ่งคำว่า “แคลอรี” ก็คือหน่วยวัดพลังงานอย่างหนึ่ง โดยพลังงานที่ใช้วัดกับอาหารจะเรียกว่า “กิโลแคลอรี” ซึ่งหมายถึงปริมาณความร้อนที่ทำให้น้ำ 1 กิโลกรัม มีอุณหภูมิสูงขึ้น 1 องศาเซลเซียสสารอาหารให้พลังงานเท่าไร
อาหารที่เรารับประทานจะมีสารอาหารที่ให้พลังงานดังนี้- โปรตีน ให้พลังงาน 4 แคลอรี / กรัม
- คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงาน 4 แคลอรี / กรัม
- ไขมัน ให้พลังงาน 9 แคลอรี / กรัม
พลังงานที่ควรได้รับในแต่ละวัน
โดยปกติร่างกายของเราต้องการพลังงานวันละ 25 กิโลแคลอรี ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และน้ำหนักตัวเฉลี่ยทั่วไปจะอยู่ที่ 50 กิโลกรัม ซึ่งหมายความว่าพลังงานที่ต้องการขั้นต่ำสุดคือ 1,250 กิโลแคลอรีต่อวัน ทั้งนี้เรายังมีกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องทำในแต่ละวันด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นร่างกายจึงต้องการพลังงานที่มากกว่าขั้นต่ำนั่นเอง โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานหนักหรือใช้พลังงานมากๆ
วิธีคำนวณแคลอรี
- ความต้องการพลังงานของผู้ชาย น้ำหนักตัว x 31 หรือโดยเฉลี่ยประมาณ 2,000 กิโลแคลอรี
- ความต้องการพลังงานของผู้ชาย น้ำหนักตัว x 27 หรือโดยเฉลี่ยประมาณ 1,600 กิโลแคลอรี
- ผู้ที่ใช้พลังงานวันละ 1,200 – 1,600 แคลอรี ได้แก่ผู้หญิงตัวเล็กที่ออกกำลังกายเป็นประจำ ผู้หญิงที่มีรูปร่างปานกลางและไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ แต่ต้องการลดน้ำหนัก
- ผู้ที่ใช้พลังงานวันละ 1,600 – 2,000 แคลอรี ได้แก่ ผู้หญิงที่มีรูปร่างใหญ่ ผู้ชายตัวเล็กที่ใช้แรงงานมาก ผู้ชายที่มีรูปร่างปานกลางและไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ ผู้ชายที่มีรูปร่างปานกลางที่ใช้แรงงานมากและอยากลดน้ำหนักด้วย
- ผู้ที่ใช้พลังงานวันละ 2,000 – 2,400 แคลอรี ได้แก่ ผู้หญิงหรือผู้ชายที่มีรูปร่างขนาดกลางถึงใหญ่และใช้แรงงานทั้งวัน ผู้ชายที่มีรูปร่างใหญ่มากแต่ไม่ได้ใช้แรงงานเท่าไร ผู้ชายที่มีรูปร่างใหญ่มากที่ใช้แรงงานมากและต้องการลดน้ำหนักด้วย
ลดน้ำหนักสร้างซิกแพกด้วยการนับแคลอรีได้อย่างไร
อันดับแรกคือควรรับประทานอาหารประมาณ 800 – 1,200 กิโลแคลอรีต่อวัน โดยจะต้องได้รับไม่น้อยกว่า 800 กิโลแคลอรี อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหลายวัน เนื่องจากจะมีผลทำให้ร่างกายของเราเผาผลาญไขมันน้อยลง ซึ่งส่งผลให้การลดน้ำหนักเป็นไปอย่างยากลำบาก และเสี่ยงต่อภาวะโยโย่เอฟเฟกต์อีกด้วยดังนั้นก่อนที่เราจะรับประทานอะไรก็ตาม ควรสังเกตฉลากอาหารที่ระบุปริมาณพลังงานและพิจารณาว่าอาหารแต่ละเมนูให้พลังงานเท่าใด เมื่อร่างกายเผาผลาญพลังงานมากกว่าที่รับประทานเข้าไป ก็จะทำให้มีการดึงไขมันส่วนเกินในร่างกายออกมาเปลี่ยนเป็นพลังงาน และพอปฏิบัติร่วมกับท่าออกกำลังกายอย่างถูกวิธี กล้ามท้องสวยๆ ที่เรียกว่าซิกแพกจะปรากฎให้เชยชมอย่างแน่นอนค่ะ
ข้อมูลอ้างอิง : www.lovefitt.com
www.medthai.com
----------------------------------------------------------------
ติดตามข้อมูลสาระดีๆเกี่ยวกับการออกกำลังกาย การดูแลตัวเอง Life Style&Travel ได้ทาง
🐦Twitter:Ballyhappyworld
⚽ IG:Ballyfit25
📌Youtube:Ballfit25 https://goo.gl/iEtLS7
🌐Blog:Ballyhappyworld
Subscribe จะได้ไม่พลาดวิดิโอใหม่ๆ และกิจกรรมดีๆ ได้ที่ https://goo.gl/iEtLS7
"ออกกำลังกายง่ายๆ ได้ทุกที่ สุขภาพดีสร้างได้เอง" กับ Ballyfit25
Posting Komentar
Posting Komentar